http://auttalud.blogspot.com/2010/01/10-tips-to-detoxify-your-diet.html

Friday, June 29, 2012

ปวดท้องตรงไหนเป็นอะไรกันแน่ ?


อาการปวดท้องมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอแต่ส่วนมากเราจะไม่ค่อยรู้สาเหตุว่าปวดเพราะ อะไรทนได้ก็ทน แค่ถ้าทนไม่ได้ถึงจะกินยาแก้ปวด มูลนิธิหมอชาวบ้านจึงให้คำแนะนำว่า หน้าท้องแข็งเป็นดานกดแล้วเจ็บ หรือกดแล้วท้องยุบลงไป แต่เจ็บทันทีที่ปล่อยมือ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ปัสสาวะไม่ออกหรือถ่ายเป็นเลือด หน้าซีด เป็นลม ตัวเย็น เหงื่อออก ไม่รู้สึกตัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลือง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายหรือข้อใดข้อหนึ่ง ต้องรีบไปหาหมอทันที !!
เราสามารถแบ่งบริเวณ ที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ

1. ชายโครงขวา คือตับและถุงน้ำดี อาการ ที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ

2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่ ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่

3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้

4. บั้นเอวขวา คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่

5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ(ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ

6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่(เหมือนข้อ 4)

7. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก ปวดเกร็งเป็นระยะร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ

8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกะปริดกะปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก

9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้

เกาะติดเพื่อน แฟน และ กิ๊ก ว่าอยู่ที่ไหน? แบบ Realtime ด้วย Google Latitude


วันนี้หากคุณกำลังหลงทาง ว่างาน meeting ปาร์ตี้ หรืองานเสวนาอยู่ที่ไหน เพื่อนๆอยู่ไหนกันหมด ? หรือติดตามคนที่คุณอย่างแฟนของคุณ และลูกๆของคุณด้วยว่าอยู่ที่ไหน อยู่ที่นั่นจริงมั้ย? ก็แนะแนะนำบริการฟรี ที่ช่วยตามหาเพื่อนๆและนัดเพื่อนๆกัน ว่ารวมกันอยู่ที่ไหนได้ด้วยอย่าง Google Latitude นี่เอง



บริการ Google Latitude ซึ่งเป็นบริการที่ต่อยอดจาก Google Maps อีกที เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2009 นี่เอง ซึ่งรายการ iT24Hrs ได้เคยนำเสนอมาแล้วในตอน GPS ใกล้ตัว ด้วยฟีเจอร์ที่เน้นสำหรับติดตามเพื่อนๆว่าเพื่อนๆอยู่ที่ไหนในโลกใบนี้ บริการนี้ครอบคลุมทั้งโทรศัพท์มือถือ หลายระบบปฏิบัติการ เช่น iOS , Android , Nokia , Blackberry , Windowsmobile , มือถือ Java บางรุ่น แท็บเล็ต และทางเว็บบราวเซอร์บนคอมพิวเตอร์ และอนาคตอาจครอบคลุมไปถึงสมาร์ททีวีด้วย

วิธีการดาวน์โหลด Google Latitude สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีผ่านทาง google.com/latitude ซึ่งบราวเซอร์นี้จะนำพาท่านไปดาวน์โหลดตามแหล่งซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการที่คุณกำลังใช้อยู่ โดยอัตโนมัติ สำหรับ iOS อย่าง iPhone จะได้แอพชื่อว่า Google Latitude บน Appstore ส่วน Android จะโหลดแอพ Google Maps ผ่านทาง Play สโตร์

มาดูตัวอย่างสำหรับ iOS เมื่อดาวน์โหลด Google Latitude เสร็จ แล้วเปิดแอพก็จะมีคำเตือนจาก Google ซึ่งที่เตือนนี้หมายถึงต้องยินยอมในการเผยตำแหน่งพิกัดบนแผนที่ของคุณ ( Share Location ) นี่เอง ซึ่งคุณสามารถกำหนดความเป็นส่วนตัวในการแชร์พิกัดของเราไปยังเพื่อนๆได้ด้วย

เมื่อทำการ sign in เข้าสู่ระบบแล้วก็จะเจอรายชื่อเพื่อนๆของคุณว่าอยู่ที่ไหน ห่างจากเรากี่กิโลเมตร กี่ไมล์

ถ้าไม่มีรายชื่อเลย ให้คุณทำการ เพิ่มเพื่อน ได้ ซึ่งสามารถเพิ่มรายชื่อเพื่อนลงใน Latitude ทั้งทางแอดอีเมลล์เพื่อน รายชื่อบนโทรศัพท์มือถือ และรายชื่อเพื่อนๆใน Gmail ของคุณ ซึ่งแนะนำให้คุณทำการเพิ่มเพื่อนๆที่ใช้เมลล์ gmail เพราะแอพ Google Latitude ต้องใช้ร่วมกับ Gmail แล้วรอเพื่อนๆตอบรับว่าจะแชร์พิกัดซึ่งกันและกันหรือไม่ ถ้าได้รับการตอบรับแล้วเราจะเห็นชื่อเพื่อนเราอยู่ใน Google Latitude ด้วย แนะนำอย่างยิ่งในสิ่งที่ต้อง add ไว้ คือ แฟนของคุณ , พ่อแม่และลูกๆ เพื่อให้คุณสามารถดูแลแบบใกล้ชิดแบบเกาะติดผ่านทาง Google Latitude นี้

หากแตะที่ ดูแผนที่ แล้วทำการซูมออกจะพบเพื่อนๆอยู่ตรงจุดพิกัดต่างๆ ดังรูป นี่คือเพื่อนๆของเรา อยู่รอบๆตัวเรานี่เอง :D เราสามารถแตะเพื่อนๆเพื่อดูว่าห่างจากเราเท่าไร ขอเส้นทางจากที่เรายืนอยู่นี้ไปหาเพื่อนได้ด้วย ซึ่งสามารถใช้ได้ในกรณีเพื่อนๆนัดทานข้าวหรือนัดมีตติ้ง ปาร์ตี้สนุกๆกันนี่เอง

หากแตะที่เช็คอิน จะมีรายชื่อสถานที่ต่างๆที่อยู่ใกล้เรามาให้คุณ เช็คอินได้ เหมือน Foursquare เลยทีเดียว ทันทีที่เช็คอินข้อมูลของคุณจะแสดงสถานที่บน Latitude ปรากฏให้กับเพื่อนๆ

สำหรับผู้ใช้ Android นี้ Google Latitude จะเป็นส่วนประกอบหนึ่งใน Google Maps นี่เอง ดังนั้นเวลาดูว่าเพื่อนๆ แฟนอยู่ไหน ก็สามารถเช็คผ่านทาง Google Maps ได้เลย ซึ่งส่วนใหญ่มือถือ Android จะ Login ผ่าน Google Account โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่จะมีฟีเจอร์พิเศษคือสามาถดูสภาพจราจร พร้อมๆกันได้ด้วย
เทคนิคการใช้ Google Latitude ให้ Realtime สุดๆ แนะนำสมัครแพคเกจอินเตอร์เน็ตแบบปริมาณการใช้งาน หรือแบบ Unlimited จะคุ้มค่าสุด เพราะ Google Latititude นี้ ต้องการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบตลอดเวลา และเพิ่มความแม่นยำมากขึ้น ก็เปิด GPS บนมือถือของคุณด้วย

แต่เท่านั้นยังไม่พอ Google Latitude ทำให้คุณสามารถเกาะติดตามเพื่อนๆได้อีกผ่านทาง คอมพิวเตอร์ PC Notebook , Labtop , Ultrabook ได้ด้วย โดยชมผ่านทางเว็บไซต์ www.google.com/latitude นี้เอง ก็จะแสดงเป็นแผนที่ใหญ่ๆพร้อมใบหน้าเพื่อนๆว่าอยู่ส่วนไหนของแผนที่ได้ ซึ่งจะแสดงแบบ Realtime เลยทีเดียว

หรือหากเข้าเว็บไซต์ iGoogle ที่ google.co.th/ig ก็มีหน้าแสดงในส่วน Google Latitude เป็นแผนที่เล็กๆในเว็บไซต์ได้ด้วย และนี่คือคุณสมบัติเด็ดๆอย่าง Google Latitude หากคุณไม่เคยใช้มาก่อนต้องลองมาใช้กับเพื่อนๆ กับแฟน หรือกับคนที่คุณรักกันดู และคุณสามารถนำ Google Latitude มาประยุกต์ใช้อย่างอื่นๆนอกจากติดตามเพื่อนๆได้ด้วย จะไว้ทำอะไรและเทคนิคเด็ดนี้ใช้อย่างไรนั้น? ติดตามได้ในตอนหน้า



ของจำเป็น 16 อย่างที่ควรติดไว้ในรถ


ใครจะรู้เมื่อเราก้าวเท้าออกจากบ้านไปผจญเผชิญภัยอยู่บนท้องถนนจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะแทบทุกบ้านมีรถและไม่น้อยคือคุณผู้หญิงที่ขับรถคนเดียว วันนี้จึงขอนำเสนอสิ่งจำเป็นที่ควรจะมีติดรถ พาหนะคู่กายเราไว้ เพื่อที่ว่าเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเราจะสามารถหยิบใช้ได้ทันท่วงที

1. ชาร์จโทรศัพท์มือถือให้เต็มก่อนออกจากบ้าน และติดที่ชาร์จไปด้วย เพื่อให้แบตเตอรี่เต็มอยู่เสมอ เมื่อออกจากบ้าน โทรศัพท์มือถือ ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในกรณีรถเสีย โดยเฉพาะสุภาพสตรี หากมีที่ชาร์จโทรศัพท์ติดประจำรถไว้ด้วยจะดีมาก มีชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของช่างซ่อมรถยนต์อยู่ในมือถือ รวมทั้งเบอร์ขอความช่วยเหลือบรรจุอยู่ด้วย


2. สายต่อพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ ในวันที่ต้องทำงานทั้งวัน แสนจะเหน็ดเหนื่อย แต่เมื่อมาถึงรถแล้วสตาร์ทรถกลับพบว่าไม่สามารถติดเครื่องได้ ซึ่งสาเหตุมักจะเป็นเพราะแบตเตอรี่หมด หรือลืมเปิดไฟไว้ในรถก็แล้วแต่ เราสามารถหยิบสายต่อพ่วง และขอพ่วงแบตเตอรี่กับรถที่ผ่านมาได้ไม่ยาก หรือเราอาจเป็นผู้ช่วยเหลือรถคันอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือก็เป็นได้

3.ไฟฉาย ไฟฉายนับว่าเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลากลางคืน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนยางอะไหล่ พ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ การค้นหาเบอร์โทรศัพท์หรือเบอร์ประกันในเวลากลางคืน สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องการไฟฉายทั้งสิ้น ยิ่งหากมีไฟฉายแบบชาร์จแบตเตอรี่ในตัวได้ หรือมีไฟสปอร์ตไลท์แบบสายคาดศีรษะได้ยิ่งดี เพื่อสะดวกต่อการใช้งาน

4. กรวยข้างถนนหรือสัญญาณสะท้อนแสง ในขณะที่จอดรถเสียไว้ข้างถนน เราไม่สามารถทำอะไรได้มากทั้งยังเป็นอันตราย อาจมีรถอีกคันหนึ่งที่ไม่ดูตาม้าตาเรือวิ่งเข้ามาชนได้ง่าย ๆ ยิ่งถ้าเป็นเวลากลางคืนด้วยแล้วไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีรถจอดทิ้งไว้ในที่ ๆ ไม่สมควรจอด เหมือนที่เราเห็นในคลิปวีดีโอต่าง ๆ ดังนั้นหากเรามีกรวยสะท้อนแสง หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่พอจะทำให้มองเห็น และสามารถสะท้อนแสงได้ในยามค่ำคืน จะช่วยลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

5.อาหารแห้งติดรถ อาหารเพิ่มพลังงาน เช่น ของขบเคี้ยวต่าง ๆ เพราะหากเราขับรถไปในสถานที่ไกล ๆ และไม่คุ้นเคย หรือในขณะที่เรารอรถลากมาช่วย หรือรอคนมาซ่อมให้ อาหารแห้งจะช่วยประทังความหิวไปได้ ยิ่งถ้าคนเป็นโรคกระเพาะด้วยแล้ว อาหารแห้งและขนมขบเคี้ยวถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นทีเดียว

6.ผ้าห่ม ผ้าห่มใช้ได้ดีในเวลากลางคืนที่มีอากาศหนาวเย็น หรือใช้รองพื้นในขณะซ่อมรถ หรือในกรณีฉุกเฉินผ้าห่มสามารถใช้แทนหมอน หรือเอาไว้นั่งทานอาหารในวันที่อยากปิกนิกนอกบ้านก็ได้

7. ผ้าเช็ดมือหรือกระดาษทำความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นชนิดน้ำ หรือแห้ง เช่นกระดาษทิชชู ผ้าขี้ริ้ว นับว่าเป็นสิ่งสำคัญหากเราเรื่องต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนยางรถยนต์ หรือในกรณีฉุกเฉินที่ต้องเข้าห้องน้ำกะทันหัน เป็นต้น

8. ชุดปฐมพยาบาล ในกรณีบาดเจ็บต้องห้ามเลือด และทำแผล หรือยาทาแก้ฟกซ้ำสำหรับลูกเล็ก ๆ เป็นสิ่งที่สำคัญที่ควรมีติดไว้ประจำรถ รวมทั้งยาสำคัญประจำตัวของเราด้วย

9. ขวดน้ำ ยิ่งถ้าเป็นประเทศไทยซึ่งมีอากาศร้อน น้ำนับว่ามีความจำเป็นสำหรับการมีชีวิตรอด หรือในวันที่รถแสนติด วันที่ขับรถออกจากการดูคอนเสิร์ต ดูภาพยนตร์ หรืองานเต้นรำ น้ำจะช่วยลดความกระหายได้มากทีเดียว รวมทั้งวันที่น้ำเติมในรถเกิดแห้ง เราก็สามารถนำน้ำนี้มาใช้ได้อีกด้วย

10. เชือกหรือโซ่หรือห่วงคล้องสำหรับลากรถ หลายครั้งในวันที่ฉุกเฉิน เราพยายามพ่วงแบตเตอรี่ก็แล้ว เติมน้ำมันเครื่องก็แล้วพยายามติดเครื่องแล้วหลายครั้งก็ไม่มีสัญาณว่าจะติด เชือกหรือโซ่ห่วงคล้อง ที่สามารถพ่วงกับรถคันอื่นได้นับว่าเป็นสิ่งจำเป็น

11.พลั่วขุดดินขนาดเล็ก แบบพับได้หรือแบบพกพา จะช่วยได้ในวันที่รถติดหล่ม ตกหลุม หรือใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้ในกรณีจำเป็น

12. ค้อน ในกรณีที่รถตกน้ำหรือต้องทุบกระจก เพื่อหาทางออก ค้อนนับว่าเป็นอุปกรณ์จำเป็นที่จะช่วยชีวิตเราได้

13. มีดเล็กแบบพกพาและเทปกาวชนิดเหนียว หากเราต้องตัดสายไฟ เชื่อมต่อสายต่าง ๆ มีดพกที่มีทั้งกรรไกร ที่ไขนอต และอื่น ๆ นับว่าจะมีประโยชน์มากที่เดียวในวันฉุกเฉิน

14. ที่สูบยางรถจักรยานขนาดเล็ก ในกรณีที่ยางรถแบนและต้องขับรถไปเปลี่ยนยางในระยะทางไกล ที่สูบลมยางจะช่วยพอประทังไปได้บ้าง ดีกว่าปล่อยให้ยางแตก หรือยางแบน เพราะนั่นหมายถึงเราไม่สามารถขยับรถไปไหนได้เลย

15.ยางอะไหล่พร้อมแม่แรง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นและต้องติดไว้ประจำในรถเสมอ

16. น้ำมันเครื่อง น้ำกลั่น ในกรณีที่น้ำกลั่นแห้งหรือน้ำมันเครื่องรั่ว เราสามารถเติมเพื่อพอประทังก่อนจะไปถึงอู่ซ่อมรถได้

สิ่งเหล่านี้ผู้เขียนเห็นว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีไว้ประจำในรถ เพื่อว่าเมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินใดใดขึ้น เราจะสามารถนำสิ่งเหล่านี้มาใช้ในการช่วยแก้ปัญหาได้ หากผู้อ่านมีความคิดเห็นอะไรเพิ่มเติมมาเขียนแสดงความคิดเห็นได้เลยนะคะ จะได้ช่วยเหลือกันและกันได้ในยามจำเป็น รอบคอบกันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ

ประโยชน์อาหารเสริมที่ควรเลือกบริโภค


กระแสสุขภาพและความงามที่กำลังมาแรง ทำให้ปัจจุบันคนหันมาสนใจอาหารเสริมกันมากขึ้น เช่น ถ้าอยากผิวสวยต้องกินสารสกัดจากปลาทะเลน้ำลึก ไม่อยากเป็นหวัดต้องกินวิตามินซี แต่คงดีต่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น หากเรารู้หลักการทำงานที่แท้จริงของอาหารเสริม จะได้เลือกทานอย่างถูกวิธี ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย
ศาสตราจารย์ อลันโลแกน แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์ฮาร์วาร์ด (HMS-CME) ได้กล่าวว่าอาหารเสริม (supplements) คือ สิ่งที่มาช่วยเติมเต็มสารอาหารให้แก่ร่างกายเท่านั้น ไม่ใช่อาหารที่สามารถกินแทนมื้อหลักได้
สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้คือ
1. มัลติวิตามิน (Multivitamins) เป็นอาหารเสริมที่รวมวิตามินและแร่ธาตุสำคัญที่ร่างกาย ควรได้รับในแต่ละวัน มีส่วนประกอบหลักคือแคลเซียม และธาตุเหล็ก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกายให้สดชื่นกระฉับกระเฉง มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรืออยู่ในช่วงควบคุมอาหาร และในทางสูตินรีแพทย์นิยมให้วิตามินชนิดนี้แก่ผู้ป่วยสตรีตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงควบคุมอาหาร เพื่อเพิ่มเติมความสมบูรณ์ของครรภ์มารดาอีกด้วย มัลติวิตามินที่เป็นที่นิยมกินเป็นอาหารเสริม คือ วิตามินบีคอมเพล็กซ์
2. โพรไบโอติก (Probiotics) ร่างกายควรได้รับอาหารเสริมจำพวกจุลินทรีย์และแบคทีเรีย เพื่อประโยชน์ในการย่อยอาหารอีกทั้งยังช่วยให้เกิดความสมดุลของระบบการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายได้อีกด้วย อาหารเสริมประเภทนี้ได้แก่ ไฟเบอร์ โยเกิร์ต นมเปรี้ยว
3. สารสกัดจากพืช (Herbal) อาหารเสริมที่ได้จากสารสกัดจากพืชช่วยให้เราบริเวณได้ง่ายขึ้น ร่างกายยังสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ในทันที เช่น ขมิ้นชันอัดเม็ด ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด สารสกัดจากใบแปะก๊วยอัดเม็ด ช่วยบำรุงสมองและความจำ เป็นต้น โดยส่วนต่าง ๆ ของพืชที่นำมาสกัดคือ ต้นอ่อน (ยอดใบ) ราก ดอก ผล ก้าน ใบ อาหารเสริมประเภทนี้ไม่สะสมในร่างกายและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ
4. กรดอะมิโน (Amino acid) อาหารเสริมจำพวกกรดอะมิโน คือหน่วยย่อยโปรตีน ที่หน้าที่บำรุงเส้นผม ผิวพรรณ ข้อต่อ กล้ามเนื้อ และเซลล์เนื้อเยื่อ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย อาหารเสริมจำพวกนี้ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต อาหารเสริมยอดนิยมประเภทนี้คือ น้ำมันสกัดจากปลาทะเลน้ำลึก และน้ำมันสกัดจากเมล็ดพืช

อาหารเสริมพื้นฐานที่ควรเลือกบริโภค

1. วิตามินบีคอมเพล็กซ์ (Vitamin B-comples) คืออาหารเสริมที่รวมตั้งแต่ บี 1 ถึง บี 12 ที่ประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสำคัญต่อระบบประสาทและสมอง ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดพลังงานแก่ร่างกาย ผู้ใหญ่ควรบริโภคประมาณ 50-100 มิลลิกรัมต่อวันในทุกเช้า

2. วิตามินซี (Vitamin C) เป็นวิตามินที่ตับของมนุษย์ไม่สามารถผลิตออกมาได้เอง จึงจำเป็นที่จะต้องเติมเต็มเข้าสู่ร่างกาย และเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำจึงไม่สะสมอยู่ในร่างกาย สามารถแบ่งกินระหว่างวันได้ทุก ๆ 6 ชั่วโมง ปริมาณบริโภคที่แนะนำคือ 60-90 มิลลิกรัมต่อวันช่วยป้องกันการขาดสารอาหาร และปริมาณ 3,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยบำรุงร่างกาย วิตามินซีช่วยบำรุงระบบการไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้น ช่วยลดปัญหาในช่องปากและฟัน เช่น เลือดออกตามไรฟันบำรุงเหงือก

3. ซิงก์ (ZINC) เป็นแร่ธาตุที่ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์และฮอร์โมนเพศ และช่วยชดเชยพลังงานที่สูญเสียไปกับเหงื่อ มีสารประกอบเมทัลโปรตีน ซึ่งเป็นโปรตีนสังเคราะห์ที่ช่วยในกระบวนการเจริญเติบโตของเซลล์ และเนื้อเยื่อ ปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวันคือ 5.5-9.5 มิลลิกรัมในผู้ชาย และ 4-7 มิลลิกรัมในผู้หญิง ควรกินพร้อมอาหาร หากกินเพียงอย่างเดียวขณะท้องว่างอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้

4. โอเมก้าทรี (Omega-3) เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สกัดจากปลาทะเล และพืชจำพวกถั่ว เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกเปลี่ยนเป็นดีเอชเอ (DHA) โดยอวัยวะตับ แต่จากผลการวิจัยขององค์การความปลอดภัยของอาหารแห่งยุโรป (EFSA) ไม่พบหลักฐานชัดเจนว่าช่วยบำรุงสมองในเด็ก แต่จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กระดูกและไขข้อต่างๆ ช่วยลดสภาวะจิตใจหดหู่ ลดคอเลสตอรอลในเลือด และลดอัตราเสี่ยงเป็นโรคหัวใจปริมารบริโภคที่แนะนำคือไม่ควรเกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

5. เวย์โปรตีน (Whey protein) เป็นอาหารเสริมที่สกัดได้จากหางนม และผลิตภัณฑ์จากสัตว์เช่น ชีส เนื้อแดง จึงเหมาะกับผู้กินชีวจิต และผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เพราะมีโปรตีนสูงช่วยเผาผลาญไขมัน เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และยังช่วยกรองระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือด โดยการควบคุมการดูดซึมอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือด ปริมาณที่ควรบริโภคต่อวันคือ ไม่เกิน 1 หรือ 2 กรัม

เหตุผลที่ควรกินอาหารเสริม

1. มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตแย่ เช่น สูบบุหรี่จัด หรือติดแอลกอฮอล์ ไลฟ์สไตล์เช่นนี้ เทียบได้กับการสะสมพิษที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว และยังมีพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เช่น กินอาหารไม่เป็นเวลา การกินอาหารแบบเร่งรีบจึงเคี้ยวไม่ละเอียด กินอาหารด้วย อาการเครียด พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้ร่างกายกายดูดซึมสารอาหารไม่ได้เต็มที

2. ภาวะร่างกายสูญเสียพลังงาน เช่น หญิงตั้งครรภ์ หญิงสูงอายุ หญิงวัยหมด ประจำเดือน หรือร่างกายปฏิเสธไม่รับอาหาร เพื่อใช้ในการสะสมความแข็งแรง เติมความสมบูรณ์ให้กับร่างกาย

3. อยู่ท่ามกลางสภาวะเป็นพิษ เช่น ร่างกายสะสมมลพิษไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่งผลให้ภูมิต้านทานอ่อนกำลังลง และใช้เวลานานกว่าร่างกายจะขับออกมหดทำให้สุขภาพอ่อนแอง่ายกว่าปกติ

4. กระบวนการแปรรูปอาหาร เช่น การกินอาหารในภัตตาคาร หรือในร้านอาหารตามสั่งเป็นประจำ ซึ่งเราไม่สามารถรู้ได้ว่ามีสิ่งแปลกปอลมใดเพิ่มเติมมาในจานอาหารทำให้เราไม่ได้รับสารอาหารครบถ้วน

อาหารเสริมที่เหมาะกับตัวเองคือ อาหารเสริมที่ช่วยบำรุงสุขภาพของเราให้ดีขึ้น ช่วยฟื้นฟูปัญหาสุขภาพได้อย่างตรงจุด เช่น อาการนอนไม่หลับ อาการอ่อนเพลีย หรือแม้แต่การช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายให้แข็งแรง และที่สำคัญคือ ต้องปลอดภัยต่อสุขภาพกระดูก ตับและระบบประสาทของเราด้วย สิ่งสำคัญในการบริโภค คือ ควรกินตามปริมาณบริโภคที่แนะนำต่อวัน หากเกินปริมาณที่กำหนดไว้อาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายได้

รู้จักอาการเจ็บหน้าอก ที่ไม่เกี่ยวกับหัวใจ


สาเหตุที่ทำให้คนเราส่วนใหญ่เกิดความกังวลเมื่อมีอาการเจ็บหน้าอกว่าจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ก็เนื่องจากโรคนี้อาจจะทำให้หัวใจวายเฉียบพลันและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่จริงๆ แล้วอาการเจ็บหน้าอกไม่จำเป็นต้องเกิดจากโรคหัวใจขาดเลือดเสมอไป เพราะอาจจะเกิดจากโรคของอวัยวะอื่นก็ได้
อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่เกี่ยวกับโรคหัวใจมีอะไรบ้าง

อาการเจ็บหน้าอกอาจจะเกิดจากโรคทางหลอดอาหาร (esophagus) ซึ่งเป็นทางที่อาหารไหลจากปากไปถึงกระเพาะอาหาร กล้ามเนื้อและกระดูกซี่โครงของหน้าอกหน้าหัวใจ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี และตับอ่อน(ซึ่งอยู่ใกล้กับหัวใจ) อย่างเช่น อาการเจ็บแสบหน้าอกที่เกิดจากกรดไหลย้อน(GERD) จากกระเพาะอาหารขึ้นไประคายเคืองต่อหลอดอาหาร ซึ่งทำให้เกิดความกังวล เนื่องจากมันอยู่ใกล้กับหัวใจ และมีเส้นประสาทความรู้สึกร่วมกับหัวใจ ทำให้มีอาการคล้ายกัน โดยประมาณ 30 % ของผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกและตกใจจนต้องรีบไปตรวจหาความผิดปกติของหัวใจหลายอย่าง รวมทั้งการสวนหลอดเลือดหัวใจฉีดสีเอกซเรย์หลอดเลือดหัวใจ (cardiac angiogram) แต่กลับไม่พบอะไร เมื่อตรวจต่อไปจึงพบว่าที่จริงแล้วเกิดจากหลอดอาหาร

อาการเจ็บหน้าอกจากกรดไหลย้อนที่ฝรั่งเรียกว่า heart burn นั้นอาจจะมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วยที่เราสามารถใช้ในการสังเกตได้ เช่น มีกรดเปรี้ยวๆ ขมๆ ย้อนขึ้นไปที่คอ ซึ่งแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินบางแห่งจะมีสูตรในการทดลองรักษาและวินิจฉัยที่เรียกว่า GI cocktail (เป็นส่วนผสมของยาลดกรดและยาแก้ปวด) ถ้าผู้ป่วยกินเข้าไปแล้วมีอาการทุเลา แพทย์ก็สามารถแยกโรคได้ แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น อาจจะทดสอบด้วยการใช้ยากดการหลั่งกรดของกระเพาะที่เรียกกันว่า proton pump inhibitor(PPI) เช่น omeprazole, lansoprazole โดยจะให้ทดลองกินดูสักหนึ่งสัปดาห์ ถ้าได้ผลก็ให้กินต่อไปเพื่อรักษากรดไหลย้อน ถ้าไม่ได้ผลก็ต้องตรวจหาสาเหตุต่อไป คือ

การตรวจว่ามีกรดไหลย้อนเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ด้วยการใช้เครื่องมือเล็กๆ คล้ายแคปซูลยา (ที่มีการส่งข้อมูลผ่านระบบไร้สายเข้าเครื่องตรวจมอนิเตอร์) สอดเข้าไป แล้วทำให้มันคาอยู่ที่หลอดอาหารเหนือกระเพาะอาหาร เพื่อคอยตรวจวัดความเป็นกรดในหลอดอาหาร โดยที่ผู้ป่วยยังสามารถใช้ได้ชีวิตตามปกติ ซึ่งวิธีการตรวจแบบนี้เรียกว่า ambulatory pH testing

หากการตรวจด้วยวิธีนี้สามารถยืนยันได้ว่ามีกรดไหลย้อนมากและเข้ากันได้กับอาการที่เกิดขึ้น ก็เชื่อได้ว่าอาการเจ็บหน้าอกเกิดจากกรดไหลย้อน แพทย์ก็ทำการรักษาโรคกรดไกลย้อนต่อไป คือรักษาทางยาก่อน ถ้ารักษาทางยาไม่ได้ผล ก็ต้องผ่าตัดโดยการเย็บกระเพาะอาหารส่วน fundus ให้ไปโอบรอบหลอดอาหารตรงเหนือรอยต่อกับกระเพาะอาหาร(fundoplication) ทำให้มีแรงรัดเป็นวาล์วกันกรดไหลย้อนได้

การเจ็บหน้าอกเกิดร่วมกับการกลืนลำบาก แต่ในบางกรณีอาจจะมีอาการเจ็บหน้าอกร่วมกับการกลืนลำบาก ก็จะต้องใช้การตรวจวินิจฉัยและรักษาที่แตกต่างออกไปจากที่กล่าวมา คือ

- การเอกซเรย์หลอดอาหารด้วยการกลืนสารเหลวทึบรังสี ซึ่งจะทำให้รังสีแพทย์มองเห็นความผิดปกติทางกายภาพและการทำงานบีบตัวขับเคลื่อนของหลอดอาหาร ทำให้วินิจฉัยโรคบางอย่างได้ เช่นมะเร็ง การเป็นแผลที่เยื่อบุหลอดอาหารจากการกินยาเม็ดใหญ่โดยไม่กินน้ำตาม แล้วมันไปครูดหลอดอาหาร (ทำให้เจ็บหน้าอก) การตีบแคบของหลอดอาหาร หรือการไม่คลายตัวของกล้ามเนื้อหูรูดตรงรอยต่อของหลอดอาหารและกระเพาะอาหารหรือ Achalasia (เอ-คา-เล-เซีย)

- การส่องกล้องตรวจ การใช้กล้องตรวจจะทำให้มองเห็นรายละเอียดของผิวเยื่อบุหลอดอาหารมากกว่าการทำเอกซเรย์ นอกจากนี้ยังทำให้สามารถตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อที่สงสัยว่าเป็นโรค (เช่นเป็นมะเร็ง) เพื่อเอาไปตรวจทางพยาธิวิทยา จะได้ให้การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องได้ เช่น ถ้าเป็นมะเร็งก็ต้องรักษาแบบมะเร็ง ถ้ามีแผลเป็นตีบตันหลอดอาหารก็รักษาการตีบ เช่น ใช้บอลลูนถ่างขยาย ถ้ากล้ามเนื้อหูรูดไม่คลายตัวหรือ Achalasia ก็อาจจะรักษาโดยการฉีดยาคลายกล้ามเนื้อที่เรียกว่า botulinum toxin (หรือที่คนไทยคุ้นหูว่าโบท็อกซ์) หรือการผ่าตัด

ส่วนสาเหตุอย่างอื่นที่ทำให้เกิดอาการเจ็บแถวหน้าอกนอกจากหลอดอาหารคือ

โรคของกระเพาะอาหาร เช่น กระเพาะเลื่อนขึ้นสู่อก (hiatal hernia) หรือโรคของถุงน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ หรือตับอ่อนอักเสบ เพราะโรคเหล่านี้ก็ทำให้มีอาการปวดใกล้หัวใจ บางครั้งจึงแยกกันยาก

โรคของกล้ามเนื้อและกระดูกอกไก่และซี่โครงตรงหน้าอกหน้าหัวใจ โรคนี้อาจเกิดจากการกระแทก ซึ่งบางกรณีทำให้รอยต่อของกระดูกซี่โครงแยกจากกระดูกอกไก่ หรือมีการอักเสบของรอยต่อ หรือรอยต่อของกระดูกซี่โครงอ่อนกับซี่โครงแข็งแยกหรืออักเสบ(costochondritis) จึงมีอาการปวดจี๊ดๆ หรือกดเจ็บบริเวณที่อักเสบ การรักษาโรคนี้จะรักษาตามอาการ ซึ่งหากแพทย์อธิบายให้เข้าใจว่า กว่าจะหายปวดต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ก็จะช่วยลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยได้

โรคของปอดหรือช่องอก(ที่ปอดอยู่) ก็ทำให้เจ็บหน้าอกได้ เช่น การอักเสบของปอด ลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดปอด หรือเยื่อหุ้มปอดอักเสบ หรือบางกรณีการหอบหืดก็ทำให้เจ็บแน่นหน้าอกได้

แต่ทางที่ดี และคลายความวิตกกังวล ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงจะดีที่สุด

50 คำคมดีๆ ที่เอามาเคาะหัวใจคุณ

50 คำคมดีๆ ที่เอามาเคาะหัวใจคุณ
1.คาดหวังให้สูงเข้าไว้และแน่นอนว่าต้องเตรียมใจที่จะพบกับความผิดหวังด้วย
2.ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
3.ถ้าเชื่อว่าไม่แพ้ เราก็จะไม่แพ้
4.คนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้
5.อุปสรรคล้วนเป็นยาขม ไม่มีใครอยากลิ้มลอง แต่ขึ้นชื่อว่ายาขม ส่วนใหญ่มักเป็นยาดีเสมอ
6.ขอบคุณความทุกข์ที่ทำให้ความสุขในคราวต่อมาเป็นความสุขที่แท้จริง
7.เพื่ออะไรกับการรอคอยที่ไม่มีความหมาย
8.ยิ่งบทเรียนยากขึ้นเท่าไหร่ ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น
9.กุหลาบไร้หนามมีเพียงมิตรภาพเท่านั้น
10.อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ให้คำนึงถึงสิ่งที่กำลังทำ
11.แม้แต่นิ้วของคนเรายังยาวไม่เท่ากัน นับประสาอะไรกับความยั่งยืนของชีวิต
12.โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ถ้าไม่ออกเดินทางก็ไม่มีวันค้นพบ
13.ไม่มีใครสะดุดภูเขาล้ม มีแต่สะดุดก้อนหินล้ม
14.ไม่มีใครเข้มแข็งตลอดไปและไม่มีใครอ่อนแอตลอดกาล
15.บางครั้งเราก็เหมือนคนตาบอดมีวิธีเดียวที่จะพาเรามุ่งหน้าไปได้คือการคลำทางเดินหน้าต่อไป
16.อย่าเกลียดน้ำตาเพราะมันคือเพื่อนแท้ อย่าเกลียดความอ่อนแอเพียงเพราะมันไม่ใช่ความเข้มแข็ง
17.มีเพียงชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่นเท่านั้นที่ควรค่าแก่การมีชีวิต
18.ทุกอย่างมีค่าเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้ว่าไม่ควรจะทำมันอีก
19.คนฉลาดย่อมไม่นำแต่ตาม ย่อมไม่พูดแต่ฟัง
20.ทุกคนได้ยินในสิ่งที่คุณพูด แต่เพื่อนที่ดีที่สุดจะได้ยินแม้ในสิ่งที่คุณไม่ได้พูด
21.อวดโง่ดีกว่าอวดฉลาด
22.คนที่ว่าคนอื่นโง่ บุคคลนั้นโง่ยิ่งกว่า คนที่ว่าคนอื่นฉลาด บุคคลนั้นคือผู้ฉลาดอย่างแท้จริง
23.ฝันได้แต่อย่าหวัง
24.เรียนรู้ที่จะแพ้อย่างผู้ชนะ แล้วจะรู้จักกับคำว่าชัยชนะที่แท้จริง
25.นักปราชญ์ควรรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด
26.ความยึดถือคือความเจ็บปวด
27.ใครคนนึงไม่ได้รักเรามากกว่าคนอื่น และไม่ได้รักคนอื่นมากกว่าเรา โปรดอย่าน้อยใจ
28.อุปสรรคคือแบบทดสอบของชีวิต
29.ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต
30.สิ่งร้ายๆจะมาพร้อมกับสิ่งดีๆเสมอ
31.โลกใบนี้ยังมีมุมดีๆให้มอง
32.ตัวเรายังไม่ได้ดั่งใจเรา แล้วคนอื่นจะเป็นได้อย่างไร
33.ถนนบางสายไกลหน่อยแต่ก็ยังมีวันถึง
34.แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง แต่งใจด้วยความดี
35.ความเจ็บปวดทำให้หัวใจแข็งแกร่ง
36.เดินคนเดียวอาจไม่รู้สึกดีอะไร แต่อย่างน้อยก็มีที่แกว่งแขนมากขึ้น
37.ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิม
38.ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เพราะทุกปัญหาแก้ไขได้
39.ถ้าไม่ลองก้าวจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองวิ่งได้
40.ตึกสูงระฟ้ามาจากก้อนอิฐ
41.ใช้ชีวิตอยู่กับความจริง ยอมรับสิ่งที่เป็น มองเห็นข้อดีคนอื่น หยัดยืนด้วยขาตัวเอง
42.เราจะรู้รสชาติของความสุขก็ต่อเมื่อเราผ่านความทุกข์มาก่อน
43.ปัญหามีไว้แก้ และต้องแก้ด้วยตัวเองไม่ใช่ยืมมือคนอื่นมาแก้
44.จุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์คือความเชื่อใจ
45.ทุกคนมีคุณค่าเพียงแต่มีโอกาสแสดงคุณค่าไม่เท่ากัน
46.บางทีการได้เจอปัญหามันก็ดีเหมือนกัน
47.สิ่งที่ผ่านมาแล้วจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก
48.ไม่ว่าใครจะตายหรือหายไป สุดท้ายโลกก็ยังหมุนต่ออยู่ดี
49.น้ำตาให้ได้แค่ความเห็นใจ
50.ในการที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใดทุกครั้งควรคิดถึงจุดจบด้วย

Exercise Your Brain ฟิตศักยภาพ 5 ด้าน ให้สมองคุณ


อย่ามัวแต่ฟิตหุ่น จนลืมฟิตสมองเด็ดขาด เพราะในแต่ละวันคุณอาจได้รับโจทย์ยากๆ ในการทำงานแบบไม่ทันตั้งตัว หลายคนอาจไม่รู้ว่านอกจากสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายแล้ว เราก็สามารถฝึกสมองได้ด้วย โดยสมอง จะมีหน้าที่หลักอยู่ 5 ด้าน คือ ความจำ สมาธิจดจ่อ ความสามารถ ด้านภาษา การมองเห็น และความสามารถในการตัดสินใจ
1.ด้านความจำ
แบบฝึกสมองก่อนทำงานที่คุณควรปฏิบัติ ได้แก่ การฟังเพลงที่ไม่เน้นแค่สนุก แต่เลือกเพลงที่คุณไม่รู้จักแล้วหัดจำเนื้อ รวมถึง การอาบน้ำ แต่งตัวในที่มืด หรือใช้มือข้างที่ไม่ถนัดแปรงฟัน วิธีเหล่านี้ จะกระตุ้นระดับของ อะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) สารเคมีที่ช่วยในสมองที่มีผลต่อการควบคุมความจำ การเรียนรู้ และเคลื่อนไหวร่างกาย
2.ด้านสมาธิในการจดจ่อ
ปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน ได้แก่ การวิ่งออกกำลังกายเบาๆ ไปพร้อมกับการฟังออดิโอบุ๊ค เปลี่ยน เส้นทางขับรถไปทำงาน หรือแม้แต่การจัดโต๊ะทำงานใหม่ ทั้งหมดนี้จะช่วยปลุกและฉุดคุณจากนิสัยเดิมๆ รวมทั้งกระตุ้นความสามารถในการทำงานที่หลากหลาย (Multitasking) ได้มีประสิทธิภาพกว่าเดิม
3.ด้านภาษา
หากคุณอ่านหน้ากีฬาบ่อยๆ ลองหันไปอ่านหน้าธุรกิจ เชิงลึกดูบ้าง คุณจะได้รู้จักคำใหม่ๆ และฝึกทำความเข้าใจเชื่อมโยงความหมาย จากบริบทด้วยตัวเอง (โดยไม่ต้องเสียเวลาเปิดพจนานุกรมสักนิดเดียว) นั่นเป็นเพราะสมองของเรามีความสามารถในการจำแนก จดจำ และเข้าใจคำได้เป็นอย่างดี ยิ่งถ้าฝึกบ่อยๆ คุณจะขยายคลังคำใหม่ๆ ไปยังคำที่ใกล้เคียง ได้อีก เกมภาษาก็เป็นอีกแบบฝึกหัดหนึ่งที่น่าสนใจ
4.ด้านการวิเคราะห์สิ่งที่เห็น
เดินเข้าไปในห้องและเลือกของ 5 ชิ้น ที่วางอยู่ และเมื่อออกจากห้องลองพยายามจำถึงตำแหน่งของสิ่งของแต่ละชิ้นให้ได้ แต่ถ้ายังง่ายไปสำหรับคุณแล้วละก็ รอสัก 2 ชั่วโมงแล้วค่อยๆ ย้อนกลับไปนึกใหม่ หรือเปลี่ยนเป็นลองมองในมุมตรงเพื่อจดจำสถานที่ ที่ไม่คุ้นเคย แล้วท้าทายตัวเองด้วยการกลับมาเขียนรายละเอียดทุกอย่างลงในกระดาษของคุณ วิธีนี้จะช่วยบังคับให้ใช้สมองฝึกรวมความสนใจไปกับองค์ประกอบและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว
5.ด้านการตัดสินใจ
เพื่อการตัดสินใจที่รอบคอบเด็ดขาด เราต้องเริ่มจากแบบทดสอบที่ต้องใช้ตรรกะในการวางแผน กะวาง แล้วก้าวกระโดดให้ได้ในเวลาที่สั้นที่สุด ซึ่งที่จริงแล้วนี่คือสิ่งที่เราต้องปฏิบัติทุกวันเมื่อพบปะผู้คน โดยเฉพาะงานขายที่ต้องหว่านล้อมเพื่อการตอบรับที่ดี ในเวลาเดียวกันวิดีโอเกมก็เรียกร้องการวางแผนในลักษณะนี้ และน่าจะเป็นข้ออ้างที่ดีของคนที่กำลังติดเกมในสมาร์ทโฟน !

วิตามินไม่ต้องกินทุกวัน


วิตามินเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อชีวิต แต่ต้องการปริมาณน้อยเป็นมิลลิกรัมหรือไมโครกรัมต่อวัน ร่างกายจะนำวิตามินแต่ละชนิดไปสร้างสารช่วยเร่งปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ในร่างกาย
ปกติแล้วสิ่งมีชีวิตสามารถสังเคราะห์วิตามินบางชนิดได้อย่างเพียงพอ ขณะที่บางชนิดก็จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร คนและสัตว์ต้องการวิตามินอย่างน้อย 13 ชนิดจากอาหารเพื่อการเจริญเติบโตและการทำงานที่ปกติ เราจำแนกวิตามินออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ วิตามินที่ละลายได้ในน้ำ และวิตามินที่ละลายได้ในไขมัน (มีอยู่ 4 ชนิดเท่านั้นคือ วิตามินเอ ดี อี และ เค)
วิตามินกลุ่มที่ละลายได้ใน "น้ำ"
วิตามินที่ละลายได้ในน้ำ ได้แก่ วิตามินบีต่าง ๆ และวิตามินซี

วิตามินบี 1 พบมากในธัญพืช ข้าวซ้อมมือ นม และเนื้อสัตว์

ถ้าขาด
จะทำให้เป็นโรคเหน็บชา มือเท้าอาจจะบวม อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร วิงเวียน ไม่มีแรง และอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
วิตามินบี 2 พบมากในนม เนื้อสัตว์และพืชผักใบเขียว

ถ้าขาด
จะเป็นโรคปากนกกระจอก คือมีแผลที่มุมปาก ลิ้นอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ เจริญเติบโตช้า
วิตามินบี 3 (ไนอาซิน) พบมากในนม ไข่ เนื้อสัตว์

ถ้าขาด
จะทำให้ผิวหนังอักเสบ ท้องเดิน และสมองเสื่อม
วิตามินบี 4 (กรดแพนโทรเทนิก) ช่วยในการสร้างเซลล์และลดความเครียดพบในอาหารเกือบทุกชนิดทั้งจากพืชและสัตว์ จึงไม่ค่อยพบการขาดวิตามินชนิดนี้

วิตามินบี 6 พบมากในเนื้อสัตว์ ถั่วลิสง จมูกข้าวสาลี ผักและผลไม้ ช่วยการทำงานของระบบประสาทและการสร้างเม็ดเลือด

ถ้าขาด
จะอ่อนเพลีย โลหิตจาง ชาปลายมือ ปลายเท้า
วิตามินบี 12 ช่วยทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง พบได้ทั่วไปในผลิตภัณฑ์อาหารจากสัตว์ทุกชนิด (เนื้อสัตว์ นม เนย) ร่างกายมีความต้องการในวันหนึ่งๆ ต่ำมากในระดับไมโครกรัม จึงมีเก็บสะสมไว้ที่ตับเป็นจำนวนมาก เพียงพอที่จะใช้ได้นาน

คนปกติมักไม่ขาดวิตามินนี้ แต่คนที่เป็นโรคบางอย่างจะทำให้ดูดซึมวิตามินนี้ไม่ได้ เมื่อขาดจะทำให้เกิดโลหิตจางที่รุนแรง อาจทำให้สมองและไขสันหลังพิการ

ไบไอทิน ช่วยในการเจริญเติบโต แบคทีเรียในลำไส้ของเราสามารถสังเคราะห์วิตามินนี้ได้อย่างเพียงพอต่อความต้องของร่างกาย จึงไม่ค่อยพบการขาดวิตามินชนิดนี้

กรดโฟลิก แบคทีเรียในลำไส้ก็สามารถสังเคราะห์ได้เพียงพอกับความต้องการ

วิตามินซี วิตามินยอดนิยมโดยเฉพาะบรรดาวัยรุ่นเพราะมุ่งผลด้านผิวพรรณ ซึ่งวิตามินซีมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยเสริมภูมิต้านทาน ช่วยในการสร้างผิวหนัง กระดูก ฟัน และหลอดเลือด

ถ้าขาด จะ
เป็นโรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน เหงือกบวม ฟันหลุดง่ายๆ ปวดข้อ ข้อบวม แผลหายช้า ร่างกายติดเชื้อง่าย
วิตามินกลุ่มที่ละลายได้ใน "ไขมัน"
วิตามินเอ พบมากในนม ตับ-ไข่แดง ผักใบเขียวและใบเหลืองรวมทั้งผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือส้ม ช่วยในด้านการมองเห็นและการสร้างเนื้อเยื่อผิวหนัง

ถ้าขาด
จะเป็นโรคตาบอดกลางคืน เยื่อบุตาและกระจกตาอักเสบ ตาแห้ง ผิวแห้งแข็ง ถ้าได้รับมากเกินไปจะเป็นพิษทำให้ปวดศีรษะ ปวดในกระดูก ผิวหนัง หลุดลอกและผมร่วง
วิตามินดี พบมากในตับ นม ไข่ เนื้อสัตว์ ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เพียงพอกับความต้องการใช้ ถ้าผิวหนังได้รับแสงแดดที่พอเหมาะเป็นประจำ

ถ้าขาด
จะเป็นโรคกระดูกอ่อน ชักและกล้ามเนื้อเกร็ง ถ้าได้รับมากเกินไปจะเป็นพิษ ทำให้วิงเวียน เบื่ออาหาร ปัสสาวะบ่อย ท้องเดิน ระดับแคลเซียมในเลือดสูงซึ่งอาจเกาะกับเนื้อเยื่อต่างๆ เช่น หลอดเลือด หลอดลม ไต
วิตามินอี พบมากในน้ำมันพืช เนยเทียม ถั่ว และผักใบเขียว

ถ้าขาด
จะเกิดผลเสียต่อระบบกล้ามเนื้อ ระบบประสาท หัวใจแหลอดเลือดเกิดโลหิตจาง กล้ามเนื้อลีบ ถ้าได้รับมากเกินไปจะทำให้ปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนล้าตาพร่ามัว ท้องเดิน
วิตามินเค พบมากใน ผัก ไข่แดง โยเกิร์ต ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและบำรุงกระดูกและฟัน ปกติแล้วเชื้อแบคทีเรียในลำไส้สามารถสังเคราะห์ได้อย่างเพียงพอ

เหตุที่ต้องบรรยายยืดยาวในเชิงวิชาการเช่นนี้เพราะปัจจุบันพบว่าการตลาดของสินค้าสุขภาพและอาหารเสริมในบ้าน เรามักจะโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้กินวิตามินกันมาก ๆ เพราะมีประโยชน์ ร่างกายจะได้แข็งแรง มีการแข่งขันกันหลายยี่ห้อว่าของตัวเองมีวิตามินเกลือแร่อยู่หลายชนิดแค่อ่านฉลากข้างขวดก็มากมายจนมึนแล้ว การให้ข้อมูลเพียงด้านเดียวคือประโยชน์แต่ไม่ได้กล่าวเน้นถึงปริมาณความต้องการที่เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละบุคคล รวมทั้งโทษของการได้รับสารเหล่านี้มากเกินไปอาจทำให้เกิดโทษตามมาได้

นอกจากนี้ วิตามินที่ได้มาจากการสังเคราะห์ย่อมปลอดภัยน้อยกว่าวิตามินที่ได้รับจากอาหารตามธรรมชาติ (ที่ถูกสุขอนามัย) คนทั่วไปที่กินอาหารได้ตามปกติครบทั้ง 5 หมู่ จะได้รับวิตามินต่าง ๆ เพียงพออยู่แล้ว แต่ถ้าอายุมากขึ้น กินอาหารได้น้อย หรือกินอาหารไม่ครบถ้วนเพียงพอ ก็สามารถเสริมวิตามินเพิ่มได้แต่ต้องเป็นปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบุคคลจึงจะไม่เกิดโทษ เช่น คนปกติทั่วไปที่ส่วนใหญ่ได้อาหารครบอาจกินวิตามินแบบรวมสัปดาห์ละครั้ง หรือวันเว้นวันก็ได้ โดยให้เลือกที่จำเป็นและเหมาะสม

ถ้าเปรียบร่างกายเป็นรถยนต์ อาหารที่ต้องกินทุกวันก็เหมือนกับเชื้อเพลิงที่ใช้ขับเคลื่อนรถยนต์โดยตรง ซึ่งต้องหมั่นเติมอยู่ตลอด ส่วนวิตามินเปรียบเหมือนน้ำมัน เครื่องช่วยหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ให้ทำงานดีขึ้น จึงไม่สิ้นแปลงมาก นาน ๆ ก็เติมที ดังนั้น ในคนปกติจึงไม่จำเป็นต้องกินวิตามินเสริมมากจนเกินไปเพราะอาจเกิดโทษได้

วิตามิน H

ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต
วิตามินเอช หรือที่รู้จักในนาม ไบโอติน (BIOTIN)
จัดเป็นวิตามินชนิดหนึ่งใน กลุ่มวิตามิน บี ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ จำเป็นสำหรับขบวนการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย เช่น การเติมคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่สารประกอบ หรือเอาคาร์บอนไดออกไซต์ออกจากสารประกอบ จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์เอนไซม์ในร่างกาย ช่วยบำรุงผิวหนัง ผม กล้ามเนื้อ และประสาท

อาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน ได้แก่ ตับหมู ไตวัว เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวกล้อง ข้าวโพด รำข้าวสาลี ไข่ นม เนย โยเกิรต์ ผักต่างๆโดยเฉพาะดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี เห็ด แครอท แต่ก็ยังไม่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับปริมาณของวิตามินที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน วิตามินนี้จะถูกสังเคราะห์โดยจุลินทรีย์ในลำไส้ ไบโอตินเป็นกรดที่มีกำมะถันอยู่ด้วยในโมเลกุล ผลึกของ ไบโอตินเป็นรูปเข็มยาว ในธรรมชาติมักเกิดรวมอยู่กับกรดอะมิโนไลซีน ระดับของไบโอตินในเซรุ่มของคนปกติอยู่ระหว่าง 213-404 นาโนกรัม/มล. สาเหตุหนึ่งที่ร่างกายอาจขาดไบโอตินได้ก็คือ การรับประทานไข่ขาวดิบในปริมาณมากเป็นระยะเวลานานๆ ทั้งนี้เพราะในไข่ขาวมีสารที่จะทำลายไบโอติน เมื่อร่างกายเกิดอาการขาดวิตามินนี้ก็จะทำให้เกิดเป็นโรคผิวหนัง ผิวหนังมีสีเทา อ่อนเพลีย โลหิตจาง มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูงกว่าปกติ
ข้อมูลทั่วไปวิตามิน H หรือไบโอติน จัดอยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม ซึ่งสามารถละลายน้ำได้ วิตามินตัวนี้จะพบได้ในทุกเซลล์ในร่างกาย แต่พบว่ามีปริมาณน้อย โดยพบว่าพบมากที่ตับและไต ของร่างกาย ร่างกายสามารถสร้างได้เอง โดยแบคทีเรียจากลำไส้
คุณสมบัติเป็นผลึกรูปเข็ม ไม่มีสี ทนต่อความร้อน แสงสว่าง กรดและด่าง ละลายได้ดีในน้ำร้อนและแอลกอฮอล์
ประโยชน์ต่อร่างกายทำหน้าที่เป็น โคเอนไซม์ ในขบวนการต่างๆของร่างการ เช่น กระบวนการเผาพลาญของร่างกาย ขบวนการสร้างกรดไขมัน พิวรีน เป็นตัวส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยผลิตฮอร์โมนเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ และอินซูลิน อีกทั้งยังรักษาสุขภาพของผิวหนัง ผม ต่อม เหงื่อ และกระดูกอ่อนอีกด้วย
แหล่งที่พบจะพบทั่วไปในแหล่งอาหารธรรมชาติ แต่พบมากในเครื่องในสัตว์ เช่น ตับหมู ไตหมู รวมทั้งพวก เนื้อวัว ปลาเนื้อขาว น้ำมันปลา ข้าวโพด ข้าวกล้อง ไข่แดง ถั่ว ยีสต์ ผักเช่น ดอกกะหล่ำปลี แครอท และพบในผลไม้ได้บ้าง
ปริมาณที่แนะนำปกติร่างกายจะสามารถสร้างไบโอตินได้อยู่แล้วจากแบคทีเรียในลำไส้ ซึ่ง ถ้าหากรวมกับอาหารที่ได้รับในแต่ละวันถือว่าเพียงพอต่อความต้องการของร่าง กายแล้ว แต่ก็เชื่อว่า ผู้ใหญ่ควรได้รับไบโอติน วันละ 100-200 ไมโคกรัม เด็ก (ตั้งแต่ 4 ขวบขึ้นไป) ควรได้รับวันล่ะ 85-120 ไมโคกรัม
ผลของการขาดจะมีการอักเสบของเยื้อบุต่างๆ ผิวหนังแห้งลอก ตกสะเก็ด มีอาการเบื่ออาหาร อาเจียน ซึม ปวดเมื่อยตามตัว ระดับคอเลสเตอรอลสูง โลหิตจางแม้จะได้รับเหล็กเพียงพอ การขับปัสสาวะลดลง
ผลของการได้รับมากไปพวกยาปฏิชีวะนะ เนื่องจากไปทำลายแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ สารอะวิดินจากไข่ขาวดิบๆ ซึ่งจะลดการดูดซึมของไบโอติน ยาพวกซัลฟา
ข้อมูลอื่นๆ
การดูดซึม+ มีการดูดซึมที่ลำไส้เล็ก และมีการขับออกทางปัสสาวะ

อาหารหรือสารต้านฤทธิ์
+ วิตามินบีรวม วิตามินบี 12 กรดโฟลิค กรดแพนโทเธ็นนิค วิตามินซี กำมะถัน

เคล็ดลับการทำงาน อย่างชาวจีนที่คุณเลียนแบบได้


คนจีนมีชื่อเสียงในเรื่องการค้าขายและทำธุรกิจ และเคล็ดวิธีรวมทั้งความคิดในการทำงานบางอย่างของคนจีน ก็เป็นสิ่งที่คุณสามารถนำเอามาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความสำเร็จให้ตัวเองได้เช่นกัน


แต่ละชนชาติมักมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง แต่หลายสิ่งหลายอย่างเหล่านี้ก็อาจมีประโยชน์ต่อคนเชื้อชาติอื่นได้เช่นกัน อย่างเช่นวิธีคิดและการทำงานของคนจีน ซึ่งมีชื่อเสียงมาช้านานในเรื่องการทำธุรกิจและการค้า และไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจของตัวเอง หรือเป็นหนักงานในบริษัท เคล็ดวิธีอย่างชาวจีนหลายอย่างก็สามารถนำมาใช้ เพื่อสร้างความสำเร็จให้ตัวเองได้

ผูกมิตรก่อน ทำธุรกิจทีหลัง คนจีนชอบการพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ และสร้างความคุ้นเคยก่อนที่จะตั้งต้นทำธุรกิจการค้ากับใคร พวกเขาอาจใช้เวลานานในการสังเกตคนอื่นก่อนที่จะทำธุรกิจใหญ่ด้วย แต่การกระทำเช่นนี้ก็สร้างสัมพันธภาพที่ดี และมักจะยืนนานกว่าการตั้งหน้าตั้งตาทำธุรกิจอย่างเดียวอย่างในสไตล์ตะวันตก ฉะนั้น พยายามให้คนอื่นรู้สึกถึงความเป็นมิตรของคุณ และความสัมพันธ์ทางธุรกิจของคุณจะราบรื่นขึ้น

ยิ้ม รอยยิ้มเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแสดงความเป็นมิตร ท่ามกลางคนแปลกหน้า การทำหน้าตาจริงจังหรือขมวดมุ่น จะทำให้สัมพันธภาพของคุณเดินไปในทางที่ผิดพลาด คนจีนใช้รอยยิ้มเพื่อเป็นกลไกการป้องกันตัว พวกเขายิ้มเวลาที่รู้สึกอึดอัดหรือตื่นกลัว ในขณะที่ชาวตะวันตกบางแห่ง อาจมองการหัวเราะคิกคักเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ในเมืองจีนมันเป็นเครื่องมือในการออกสังคมของคนทุกระดับชั้น แต่คุณจะดูเป็นมิตรมากกว่า และมีอิทธิพลในทางที่ดีต่อผู้คนมากกว่าด้วยรอยยิ้มของคุณ ฉะนั้น อย่าลืมรอยยิ้มของคุณเสียล่ะ

พูดช้าๆ คนอเมริกันชอบพูดเร็วๆ ผลก็คือพวกเขาทำให้คนฟังเบื่อ มันไม่สำคัญหรอกว่าไอเดียของคุณจะวิเศษเพียงใด ถ้าคุณไม่สื่อสารออกมาในแบบที่คนอื่นจะเข้าใจได้ คนจีนมักเห็นเป็นเรื่องไม่สุภาพที่จะขอให้คนอื่นพูดซ้ำ ถ้าพวกเขาไม่เข้าใจคุณ พวกเขาก็จะนั่งเฉยๆ และดูเหมือนเข้าใจ และปล่อยให้ความคิดของคุณผ่านเลยไป การพูดช้าๆ และชัดเจนจึงจำเป็นในกรณีที่คุณต้องการสื่อสารความคิดของคุณ และให้แน่ใจว่าคนอื่นฟังมันอย่างเข้าใจ

อย่าเป็นกันเองเกินไป ในประเทศตะวันตกมักจะเน้นที่ความเท่าเทียมกัน แต่คนจีนจะเน้นหลักอาวุโสเป็นหลัก นี่เป็นการให้เกียรติคนอื่น และสร้างความรู้สึกในแง่ดี ที่จะทำให้สัมพันธภาพทางธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

สินน้ำใจหรือของขวัญ คนจีนนิยมการการมอบของขวัญในโอกาสต่างๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้รับรู้สึกยินดีแล้ว ยังสร้างความน่าเชื่อถือความรักนับถือแก่ผู้ให้อีกด้วย ซึ่งเมื่อการยอมรับเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ย่อมจะหาการสนับสนันจากผู้อื่นได้ไม่ยาก จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เราจะประสบความสำเร็จ ฉะนั้น อย่าลืมการให้ของขวัญเพียงเล็กน้อยแก่ทุกคนรอบตัว ไม่ว่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่าหรือสูงกว่าก็ตาม

ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่มั่ง มีเงินทอง ที่ย่อมอยากทำตัวให้สุขสบายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินดีๆ หรือการซื้อของหรูหราราคาแพงมาใช้ แต่สำหรับคนจีนแล้ว การทำตัวหรูหราฟุ่มเฟือยเป็นความทุกข์มากกว่าความสุข เพราะต้องคอยระวังไม่ให้ข้าวของเหล่านั้นถูกขโมย หรืออาจมีคนไม่ชอบในความอวดโอ้ของตนก็เป็นได้ ทางที่ดีจึงควรทำตัวให้ต่ำกว่าฐานะของตนเอง หรือใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย แค่อยู่ให้สบายกายสบายใจ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ของแพง แต่เก็บออมเอาไว้เพื่อประโยชน์ในอนาคตจะดีกว่า ที่สำคัญก็คือ การวางตัวเช่นนี้ จะทำให้เป็นที่รักและไม่สร้างความบาดหมางต่อคนรอบข้างอีกด้วย

คำคมภาษาอังกฤษ

รวมคำคมความรักในรูปแบบต่าง ๆ


รวมคำคมความรักในรูปแบบต่าง ๆ ที่จะทำให้คุณรู้สึกและสัมผัสถึงความรักใน รูปแบบต่าง ๆ และอิ่มเอิบใจไปกับความรู้สึกแห่งความรัก ลองอ่านคำคมดี ๆ พวกนี้ดูนะค่ะ

คำคมความรักในแบบรักใครสักคน


อย่าผืนใจรัก...ถ้ามันไม่ใช่
ไม่มีประโยชน์..ที่จะคบกับใครสักคน
เพียง เพราะอยากมี...ใครสักคน


คำคมความรักสำหรับผู้เป็นแม่


มีผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่ทุกทีที่เราหิวข้าว เขาจะไปทำกับข้าวให้กิน

มี ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่เราเกเรแค่ไหน เขาก็ไม่โกรธ

มีผู้หญิงคน เดียวในโลก ที่เราโตแค่ไหน เขาก็ยังเห็นเราเป็นเด็กเล็ก ๆ

มี ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่เรามีแฟนตั้งหลายคน เขาก็ยังรักเรา

มี ผู้หญิงคนเดียวในโลก ที่ไม่ว่าเราจะเป็นอะไร เขาก็ยังห่วงและรักเราเสมอ

ผู้หญิงคนนั้น ก็คือ คุณแม่เรานั่นเอง


คำคมความรักในแบบตามหาความรัก


ใครบางคนพบรักแท้
แค่เปิดตา
ใครบางคนมองหา
กลับไม่เห็น
ใคร บางคนได้รักมา
แต่ยากเย็น
ใครบางคนมองเห็นกลับเมินไป


คำคมความรักโดน ๆ เมื่อแฟนเป็นพวกชอบอยู่กับตัวเอง


อยู่กับตัวเองมากไปหรือเปล่า
แล้วลืมอะไรดีดีไปบ้างไหม
ใครดูแล ห่วงใยใสใจมากมาย
เห็นเขาสำคัญบ้างไหมในสายตา


คำคมเมื่อความรักต้องเลือก


อย่าเลือก
คนที่เราคิดว่าเราน่าจะอยู่กับเขาได้
แต่ให้เลือก
คน ที่เราคิดว่าเราคงอยู่ไม่ได้..ถ้า..ไม่มีเขา


คำคมเมื่อผู้ให้ความรักต้องการความรักตอบบ้าง


คนบางคน..
เกิดมาเพื่อถูกรัก
..แต่ใครบางคน
เกิดมาเพื่อที่จะ รัก
แล้วใครบางคน..คนนั้น
จะเป็นผู้รับความรักได้บ้างหรือเปล่า


คำคมความรักแบบห่วงใย และไม่ต้องการสิ่งตอบแทน


ฉันไม่อยากเข้าไปรบกวนเขา
สำหรับฉัน
มองดูเขาอยู่ตรงนี้
ห่าง ๆ
ก็ พอแล้ว


เมื่อความรักอดีต ความไว้ใจ คือสิ่งที่ต้องการ


ใส่ใจอะไรนักกับอดีต
ไม่ว่าใครก็มีอดีตด้วยกันทั้งนั้น
ที่สำคัญ คือ ทุกวันนี้เรารักกัน
เชื่อใจ และ ไว้ใจเท่านั้น
ก็ไม่มีอะไรต้อง หวั่นไหวอีกต่อไป


เมื่อความห่วงใยของเราถูกล้อเล่น


การล้อเล่นกับความห่วงใยของใครสักคนคน
มันเหมาะสมแล้วหรือ


เมื่อความรักไม่ได้ถูกจดจำด้วยสมอง


ปกติคนเราจะจำด้วยสมอง
แต่จะมีคนพิเศษบางคนเท่านั้น
ที่เราจะจดจำ เขาด้วยหัวใจ
และเมื่อเขาเข้ามาอยู่ในใจเราแล้ว
มันก็ยากและเจ็บปวด ที่จะลืมเลือน

น้ำมันหมู ทำกับข้าวแทน น้ำมันพืช

สมัยก่อนคนไทยนิยมทอดอาหารด้วยน้ำมันหมู
แต่เมื่อน้ำมันพืชเข้ามาบุกตลาดพร้อมกับโฆษณาว่าใช้น้ำมันพืช
แล้วดี เพราะไม่เป็นไข

... ทำให้คนเชื่อว่าน้ำมันหมูไม่ดี เพราะเป็นไขได้ง่าย จึงหันมา
หาบริโภคน้ำมันพืชแทน

จริงๆ แล้วน้ำมันพืช น้ำมันปาล์มจัดเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัว
การผลิตต้องผ่านกรรมวิธีฟอกสีให้ดูสะอาด สดใส แวววาวพร้อม
กับแต่งกลิ่นไม่ให้เหมืนหืน

ที่โฆษณาว่าไม่เป็นไขนั้นจริงๆแล้ว น้ำมันพืชจะไม่เป็นไขก็ต่อ
เมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาฯ แต่อุณหภูมิในร่างกายคนเราอยู่
ที่ประมาณ 37 องศาฯ

ซึ่งเมื่อน้ำมันพืช น้ำมันปาล์มเข้าสู่ร่างกายแล้ว
จะกลายเป็นกาวเหนียว ๆ เข้าไปเกาะเคลือบผนังลำคอ ลำไส้
กระเพาะ ทำให้ผนังลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ
ไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้

นำไปสู่โรคต่าง ๆ มากมาย ทั้งโรคอ้วน โรคคอเลสเตอรอลสูง
โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคไต โรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน
โรคไทรอยด์ รวมถึงทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย

>>> ตรงข้ามกับน้ำมันหมู ที่เป็นไขมันอิ่มตัว
แต่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไม่เป็นไขและละลายกับน้ำได้ ร่างกาย
จึงดูดซึมสารอาหารไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่าง
เป็นปกติ คนสมัยก่อนจึงไม่มีปัญหาโรคภัยรุมเร้ามากมายอย่างในปัจจุบัน

ดังนั้น เราจึงควรคิดใหม่ทำใหม่กันอีกครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่น้ำมันพืชเคยขาดแคลน
หันมาเคี่ยวน้ำมันหมูใช้เองกันดีกว่า ทั้งประหยัด ทั้งปลอดภัยกว่า
น้ำมันพืชเป็นไหนๆ

••• วิธีทดสอบความเป็นไขของน้ำมันพืชและน้ำมันหมู •••

เอาน้ำมันพืชใช่ภาชนะ แล้วเอาไปตากแดด
ในอุณหภูมิประมาณ 30 -37 องศา ซึ่งใกล้เคียงกับร่างกายของเรา
สัก 10 นาที แล้วลองเช็ดน้ำมันออก

จะพบว่าเป็นเมือกกาวซึ่งเช็ดออกยากมาก
ล้างไม่มีทางออก ต้องใช้ "กรด" เท่านั้นถึงล้างออก!
ตรงข้ามกับน้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว ตากแดดแล้วล้างออกง่าย
ทีนี้ลองเลือกเอาเองว่า เราควรจะบริโภคน้ำมันแบบไหนดีกว่ากัน


รูปภาพ : ► น้ำมันหมู  ทำกับข้าวแทน  น้ำมันพืช

สมัยก่อนคนไทยนิยมทอดอาหารด้วยน้ำมันหมู 
แต่เมื่อน้ำมันพืชเข้ามาบุกตลาดพร้อมกับโฆษณาว่าใช้น้ำมันพืช
แล้วดี เพราะไม่เป็นไข 

ทำให้คนเชื่อว่าน้ำมันหมูไม่ดี เพราะเป็นไขได้ง่าย จึงหันมา
หาบริโภคน้ำมันพืชแทน

จริงๆ แล้วน้ำมันพืช น้ำมันปาล์มจัดเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัว 
การผลิตต้องผ่านกรรมวิธีฟอกสีให้ดูสะอาด สดใส แวววาวพร้อม
กับแต่งกลิ่นไม่ให้เหมืนหืน 

ที่โฆษณาว่าไม่เป็นไขนั้นจริงๆแล้ว น้ำมันพืชจะไม่เป็นไขก็ต่อ
เมื่ออยู่ในอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาฯ แต่อุณหภูมิในร่างกายคนเราอยู่
ที่ประมาณ 37 องศาฯ 

ซึ่งเมื่อน้ำมันพืช น้ำมันปาล์มเข้าสู่ร่างกายแล้ว 
จะกลายเป็นกาวเหนียว ๆ เข้าไปเกาะเคลือบผนังลำคอ ลำไส้ 
กระเพาะ ทำให้ผนังลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมสารอาหารต่างๆ 
ไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้ 

นำไปสู่โรคต่าง ๆ มากมาย ทั้งโรคอ้วน โรคคอเลสเตอรอลสูง 
โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคไต โรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน 
โรคไทรอยด์ รวมถึงทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ด้วย

>>> ตรงข้ามกับน้ำมันหมู ที่เป็นไขมันอิ่มตัว 
แต่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไม่เป็นไขและละลายกับน้ำได้ ร่างกาย
จึงดูดซึมสารอาหารไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่าง
เป็นปกติ คนสมัยก่อนจึงไม่มีปัญหาโรคภัยรุมเร้ามากมายอย่างในปัจจุบัน

ดังนั้น เราจึงควรคิดใหม่ทำใหม่กันอีกครั้ง 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงที่น้ำมันพืชเคยขาดแคลน 
หันมาเคี่ยวน้ำมันหมูใช้เองกันดีกว่า ทั้งประหยัด ทั้งปลอดภัยกว่า
น้ำมันพืชเป็นไหนๆ 

••• วิธีทดสอบความเป็นไขของน้ำมันพืชและน้ำมันหมู •••

เอาน้ำมันพืชใช่ภาชนะ แล้วเอาไปตากแดด
ในอุณหภูมิประมาณ 30 -37 องศา ซึ่งใกล้เคียงกับร่างกายของเรา
สัก 10 นาที แล้วลองเช็ดน้ำมันออก 

จะพบว่าเป็นเมือกกาวซึ่งเช็ดออกยากมาก 
ล้างไม่มีทางออก ต้องใช้ "กรด" เท่านั้นถึงล้างออก! 
ตรงข้ามกับน้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว ตากแดดแล้วล้างออกง่าย 
ทีนี้ลองเลือกเอาเองว่า เราควรจะบริโภคน้ำมันแบบไหนดีกว่ากัน

-------- จบ ---------

บรรพต 107 http://www.mediafire.com/?4m6lci85n0w8ed3
 
 

Thursday, June 28, 2012

7 ขั้นตอน ในการค้นหาความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง

7 ขั้นตอน ในการค้นหาความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

เชื่อว่าใครหลายคนต้องเคยมานั่งนึกถามตัวเองอยู่บ่อยครั้งว่า ในอนาคต "อยากทำงานอะไร?" หากคุณตอบว่า ไม่รู้ นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะยังมีคนอยู่อีกไม่น้อยที่ตอบตัวเองไม่ได้ แม้วัยจะล่วงเลยมากขึ้นทุกวัน ๆ แต่เราก็ยังไม่พบคำตอบที่ต้องการอยู่ดี ว่าจริง ๆ แล้วเราอยากทำอะไรกันแน่ ดังนั้น วันนี้กระปุกดอทคอมจะมาช่วยแนะนำวิธีหาคำตอบที่หายไปของคุณเองครับ

1. ทำในสิ่งที่ตัวเองรักและถนัดที่สุด

คนเราถ้าจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่ออะไรสักอย่าง ก็ควรได้ทำในสิ่งที่ชอบและถนัดมากที่สุด เพราะมันจะทำให้ผลงานออกมาดี เมื่อได้ใส่ใจลงไปในเนื้องานด้วย ไม่ใช่ทำอะไรไปตามหน้าที่ รับผิดชอบให้ผ่านไปวัน ๆ ทั้งที่ใจกลับไม่ชอบเลย คุณจะมีความสุขจริงเหรอ? โอเคล่ะ...คุณอาจทำได้ แต่มันจะดีกว่าไหม ถ้างานที่ทำอยู่ทุกวัน คือ สิ่งที่คุณรักมากที่สุด

2. สังเกตคนที่อยู่รอบตัวคุณ

ลองสังเกตคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณสิ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ญาติพี่น้องหรือแม้กระทั่งเพื่อน เพราะหลายครั้งที่พบว่า การได้อยู่ใกล้ ๆ และสัมผัสอิทธิพลจากสิ่งที่อยู่รอบตัวคุณ คือ สิ่งที่ใจคุณปรารถนาจะทำมากที่สุด เช่น เห็นคุณพ่อในเครื่องแบบตำรวจมาตั้งแต่เล็ก ๆ ได้เห็นวิธีการที่ท่านทำงานมาโดยตลอด จนบางครั้งคุณไม่รู้ตัวหรอกว่ามันค่อย ๆ ซึมซับเข้ามาในใจคุณ และอยากเป็นให้ได้อย่างท่านบ้าง

3. สร้างแรงบันดาลใจ

การจะทำอะไรสักอย่างให้ได้ผลตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ เราอาจต้องสร้างแรงบันดาลใจบางอย่างขึ้นมาให้กับตัวเอง เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนให้มีไฟในการเดินตามจุดมุ่งหมายต่อไป

7 ขั้นตอน ในการค้นหาความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง

4. หาใครสักคนมาเป็นไอดอล

เมื่อคุณตอบตัวเองได้ว่าตัวเองชอบงานประเภทไหน ลำดับต่อไปก็อาจลองมองหาใครสักคนที่ทำงานในด้านที่คุณชอบมาเป็นไอดอลให้กับตัวเองดูสิ แล้วเขาคนนั้นแหละ จะกลายเป็นแรงจูงใจให้คุณพยายามก้าวเดินไปข้างหน้าให้ได้อย่างที่เขาทำ และสักวันหนึ่งคุณอาจจะประสบความสำเร็จเหมือนเขาก็เป็นได้

5. ไปขอฝึกงาน

การฝึกงาน คือ สิ่งที่ช่วยขัดเกลาฝีมือการทำงานของคุณให้ดีขึ้น และยังได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนอีกด้วย แม้การฝึกงานกับบริษัทบางแห่ง อาจไม่ได้ค่าตอบแทนเป็นเงิน แต่อย่างน้อยสิ่งที่ได้มาทดแทนและมีคุณค่ามากกับชีวิต คือ ประสบการณ์ นั่นเอง นอกจากนี้ยังเป็นเสมือนช่วงทดสอบความต้องการของคุณด้วยว่า ชอบสายงานที่ทำอยู่จริง ๆ หรือไม่ เพราะคุณได้มีเวลาคลุกกับมันแทบจะตลอดเวลา

6. ลองทำหลาย ๆ อย่าง

วันนี้คุณอาจค้นพบแล้วว่าตัวเองชอบอะไร แต่มันก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่า คุณจะรักในสิ่งนี้ตลอดไป เพราะคนเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกว่าหมดไฟ หรือไม่มีกระจิตกระใจในงานที่ทำอยู่แล้ว ลองออกไปหางานอื่นที่แตกต่างออกไปทำสิ เพราะคุณอาจพบว่า นี่แหละ!! คือ สิ่งที่อยากทำมาโดยตลอด

7. งานแบบไหนที่ทำรายได้ให้คุณมากที่สุด

ไม่แปลกหรอกว่า บางคนจำต้องหางานที่ให้เงินเดือนมากที่สุดกับตัวเอง แทนที่จะเลือกทำในสิ่งที่รัก เพราะข้อจำกัด เงื่อนไข และความจำเป็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้น อย่าเพิ่งตีคุณค่าของคนไปแบบผิด ๆ เพียงเพราะเขาเลือกประกอบอาชีพที่ทำเงินได้เยอะ ๆ ลองคิดกลับกันถ้าคุณมีชีวิตเหมือนเขา บางทีก็อาจเลือกทำด้วยเหตุผลเดียวกับเขาเหมือนกันก็ได้ ฉะนั้น ไม่แปลกเลยที่คุณอาจเป็นหนึ่งในคนที่เลือกอาชีพเพราะค่าตอบแทน เมื่อมีหนทางที่ดีกว่าก็ต้องเลือกทางเดินที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง

การค้นหาตัวเองให้เจอ อาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ และไม่ได้พบในเร็ววัน แต่หากคุณมีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง สักวันก็ต้องประสบความสำเร็จจนได้ และในท้ายที่สุดคุณก็พบแล้วว่าต้องการอะไรจากชีวิตตัวเอง

Wednesday, June 27, 2012

แจ่ม! Art in Paradise พัทยา พิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ


Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ เดี๋ยวก็รู้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

ไปเที่ยวพัทยากันเถอะ! ฟังดูคุ้นเค๊ย คุ้นเคย แต่ไม่เชยนะจ๊ะ เพราะวันนี้ที่พัทยาเขามีทีเด็ดมาให้แวะเที่ยวกันอีกแล้ว หลายคนคงเคยเห็นภาพวาด 3 มิติ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนจริงสุด ๆ จากต่างประเทศกันมาบ้าง ทั้งจากฟอร์เวิร์ดเมล รูปถ่าย หรือคลิปวิดีโอ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นของจริงสักที ว่าภาพ 3 มิติเหล่านั้นจะเหมือนจริงขนาดไหน -_-'

โชคดีเป็นของคุณ! เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปหาดูไกลถึงต่างประเทศแล้วจ้า เชิญตรงดิ่งไปพัทยาแล้วแวะเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ Art in Paradise ให้เพลินตาเพลินใจกันได้เลย เพราะที่นี่เขารวบรวมศิลปะภาพวาด 3 มิติ แบบเหมือนจริงสุด ๆ มาไว้ให้ได้เข้าชมกันเป็นร้อยรูปเลยล่ะ แถมวันนี้กระปุกท่องเที่ยวก็ได้นำเอารีวิวภาพของ คุณ เดี๋ยวก็รู้ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มาให้ชมเป็นการเรียกน้ำจิ้มด้วย ส่วนจะเด็ดแค่ไหนต้องตามไปดูกันเลย...

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise
Art in Paradise พิพิธภัณฑ์ศิลปะเก๋ ๆ ที่รวบรวมเอาภาพวาด 3 มิติ เอาไว้มากกว่า 140 ภาพ บนพื้นที่ประมาณ 5,800 ตารางเมตร โดยมีศิลปินชาวเกาหลีใต้ ชิน แจ ยอล (Shin Jae Yeoul) เป็นผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ ด้วยการเนรมิตพัทยาพัลลาเดียมเก่าให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสุดอลังการ ชนิดที่ว่าคนรักการถ่ายภาพมาเห็นเป็นต้องแชะภาพแบบนันสต๊อปเลยล่ะ

นอกจากนี้ เขายังแบ่งห้องแสดงภาพออกเป็น 10 ห้องด้วยกัน เพื่อจัดแสดงภาพให้เป็นหมวดหมู่ มีทั้ง ห้องลวงตา, ห้องใต้สมุทร, ห้องสัตว์ป่า, ห้องภาพจิตรกรรมของศิลปินระดับโลก, โถงอารยธรรม, ห้องศิลปะเหนือจริง, ห้องไดโนเสาร์, ห้องน้ำตกสูงชัน, ห้องวิวทิวทัศน์ และสุดท้ายห้องนิทรรศการศิลปะ ที่ตั้งใจเตรียมไว้สำหรับจัดแสดงผลงานทางศิลปะของศิลปินที่สนใจจะเข้าไปใช้พื้นที่ด้วย

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise
ภาพทุกภาพในพิพิธภัณฑ์ Art in Paradise แห่งนี้ ถูกวาดขึ้นบนกำแพงสีขาวในแบบที่ไม่มีตัวช่วยใด ๆ ถ้าเอามือไปสัมผัสจะพบได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในภาพไม่เว้นแม้แต่กรอบรูปคือสิ่งที่วาดขึ้นมาทั้งหมด แม้กระทั่งบันไดสูงชันที่อาจเผลอก้าวขาขึ้นโดยไม่รู้ตัวก็เป็นเพียงบันไดภาพวาดบนพื้นราบเรียบเท่านั้น ที่สำคัญคือนอกจากภาพวาดทั่วไปแล้ว เขายังเอาใจคนไทยด้วยภาพวาดที่แสดงอารยธรรมไทยหลายภาพ โดยเฉพาะภาพสระบัวที่มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ เป็นภาพที่ดูอบอุ่นและเข้าใจแก่นแท้ของศาสนาพุทธได้ดีทีเดียว

ข้อดีของที่นี่ คือ เขาอนุญาตให้ถ่ายรูปเล่นกับภาพศิลปะเหล่านั้นได้อย่างอิสระ โดยเขาจะมีการตัวอย่างการโพสท่าเอาไว้ให้ แต่ถ้าใครอยากสร้างสรรค์ท่าถ่ายรูปใหม่ ๆ ก็เชิญเต็มที่ เพราะแน่นอนว่าภาพวาดทุกชิ้นจะมีคุณค่ามากขึ้นก็ต่อเมื่อผู้เข้าชมได้มีส่วนร่วมกับภาพ ให้ภาพดูมีชีวิตชีวาและสมจริงมากยิ่งขึ้น รวบรวมพลังสร้างสรรค์ที่คุณมีแล้วครีเอทท่าตามต้องการได้เลย

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

ใครอยากลองไปสัมผัสความอาร์ตที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปพัทยาได้เลย หาไม่ยากแค่เลี้ยวขวาจากถนนสุขุมวิทเข้าพัทยาเหนือ ผ่านหน้าโลตัสและศาลากลางเมืองพัทยา เลี้ยวซ้ายไปทางบิ๊กซีพัทยาเหนือตรงไปอีก 300 เมตร ก็จะเจอพิพิธภัณฑ์ Art in Paradise แล้วล่ะ

สำหรับค่าเข้าชม คนไทยราคา 150 บาท, เด็กส่วนสูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร ราคา 100 บาท ส่วนชาวต่างชาติค่าเข้าชมราคา 500 บาท, เด็กส่วนสูงไม่เกิน 120 เซนติเมตร ราคา 300 บาท โดยเปิดให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 09.00 – 21.00 น. ซึ่งสามารถซื้อบัตรเข้าชมได้ถึงเวลา 20.00 น. ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 038-424-500

นั่นแน่! คุณเริ่มอยากไปสัมผัส Art in Paradise ด้วยตาตัวเองแล้วใช่ไหมล่ะ ^^


Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise

Art in Paradise
This Day in History

Today's Birthday